สารบัญ
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการพลังงานของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่มีการหันมาให้ความสนใจกับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซล่าเซลล์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานระบุว่า กำลังการผลิตติดตั้งโซล่าเซลล์ในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด จาก 2,963 เมกะวัตต์ในปี 2019 เป็นกว่า 4,500 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน โดยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการเติบโตนี้มาจากรูปแบบการลงทุนแบบใหม่ที่เรียกว่า "Private PPA" หรือ "สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเอกชน" ซึ่งเป็นทางเลือกที่เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมสามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานสะอาดได้โดยไม่ต้องรับภาระการลงทุนเริ่มต้นที่สูง
บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจว่าทำไมโมเดลธุรกิจแบบ PPA จึงกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการไทย และเหตุใดการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดจึงกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในยุคปัจจุบัน
PPA หรือ Power Purchase Agreement เป็นรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน (ในที่นี้คือโซล่าเซลล์) กับผู้ใช้ไฟฟ้า โดยไม่ผ่านการไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งในประเทศไทย เราอาจเรียกว่า "Private PPA" หรือ "Corporate PPA" เพื่อแยกให้เห็นความแตกต่างจาก PPA ที่ทำกับภาครัฐ
รูปแบบธุรกิจแบบ PPA นี้จึงเป็นการสร้าง "win-win solution" ให้กับทั้งสองฝ่าย โดยผู้ใช้ไฟฟ้าได้ประโยชน์จากการลดต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยไม่ต้องลงทุนเอง ในขณะที่ผู้ลงทุนก็ได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้โมเดลธุรกิจแบบ PPA ได้รับความนิยมอย่างมากคือการที่องค์กรธุรกิจสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ทันทีตั้งแต่วันแรกที่ติดตั้งระบบ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณลงทุนเริ่มต้นที่สูง
โดยทั่วไป สัญญา PPA จะกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ต่ำกว่าอัตราค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวงประมาณ 10-30% ขึ้นอยู่กับขนาดของระบบและเงื่อนไขสัญญา ซึ่งทำให้องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเช่น โรงงานที่มีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านบาท หากติดตั้งโซล่าเซลล์แบบ PPA ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 30% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด และมีอัตราค่าไฟลดลง 20% จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 60,000 บาทต่อเดือน หรือ 720,000 บาทต่อปี โดยไม่ต้องลงทุนแม้แต่บาทเดียว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาค่าไฟฟ้าในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการปรับค่า Ft (ค่าไฟฟ้าผันแปร) ที่ได้รับผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลก
การทำสัญญา PPA ช่วยให้ธุรกิจสามารถล็อคต้นทุนค่าพลังงานบางส่วนในระยะยาว เนื่องจากราคาค่าไฟฟ้าตามสัญญาจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าและมักมีการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้าทั่วไป ทำให้สามารถบริหารจัดการงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนพลังงาน
ปัจจุบัน แนวคิดด้านความยั่งยืนและการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) กำลังได้รับความสำคัญอย่างมากในวงการธุรกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีความจำเป็นต้องรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนมากขึ้น
การติดตั้งโซล่าเซลล์ช่วยให้องค์กรสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉลี่ยการผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ขนาด 1 เมกะวัตต์ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 800-1,000 ตันต่อปี ซึ่งสามารถนำไปรายงานเป็นความสำเร็จในการดำเนินงานตามแนวทาง ESG ได้
นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปสู่การขอรับคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ซึ่งอาจสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับองค์กรหรือนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในส่วนอื่นๆ ขององค์กรได้ในอนาคต
ในยุคที่ผู้บริโภคและพันธมิตรทางธุรกิจให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น การใช้พลังงานสะอาดกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่มีการส่งออกไปยังประเทศที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด เช่น กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป
ตัวอย่างเช่น มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่จะเริ่มบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2026 จะทำให้สินค้าที่นำเข้าจากประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงต้องเสียภาษีเพิ่มเติม การลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการใช้พลังงานสะอาดจึงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้
นอกจากนี้ บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทำให้ซัพพลายเออร์ที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนมีโอกาสได้รับการพิจารณาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจมากกว่า
การติดตั้งโซล่าเซลล์แบบ PPA ช่วยให้องค์กรไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบ เนื่องจากผู้ให้บริการจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลระบบทั้งหมดตลอดอายุสัญญา ซึ่งรวมถึง:
ซึ่งทำให้องค์กรสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักของตนเองได้ โดยไม่ต้องแบ่งทรัพยากรมาดูแลระบบพลังงาน
บริษัทผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ของประเทศไทยแห่งหนึ่งได้ติดตั้งระบบโซล่าเซลล์บนหลังคาโรงงานขนาด 3 เมกะวัตต์ผ่านสัญญา PPA ระยะเวลา 20 ปี ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 4.5 ล้านหน่วยต่อปี หรือคิดเป็น 25% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของโรงงาน
ผลลัพธ์ที่ได้:
บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการส่งออกไปยังตลาดยุโรปและอเมริกาเหนือได้ตัดสินใจติดตั้งระบบโซล่าเซลล์แบบ PPA ขนาด 5 เมกะวัตต์ บนพื้นที่หลังคาและลานจอดรถ เพื่อตอบสนองต่อข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมจากลูกค้า
ผลลัพธ์ที่ได้:
เครือธุรกิจค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าชั้นนำได้ขยายการติดตั้งโซล่าเซลล์แบบ PPA ไปยังสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ รวมกำลังการผลิตติดตั้งกว่า 15 เมกะวัตต์ เพื่อตอบสนองต่อนโยบายด้านความยั่งยืนขององค์กร
ผลลัพธ์ที่ได้: